Submitted by elderadmin on Sat, 04/12/2014 - 16:43

ภาวะสับสนในผู้สูงอายุ
ภาวะสับสนในผู้สูงอายุ
เรื่องนี้เป็นปัญหาที่พบบ่อย เข้าใจยาก และอาจเป็นสัญญาณอันตรายในบางครั้งครับ
ในทางการแพทย์ เรียกว่า Delirium(อ่านว่า ดีล-ลิ-เหลี่ยม) คือภาวะสับสนในผู้สูงอายุ
ลักษณะอาการ อาจเริ่มต้นด้วยการนอนยาก หรือไม่ยอมนอนในเวลากลางคืน แต่มานอนในเวลากลางวัน คิดช้าลง คุยช้าลง ลักษณะที่สำคัญคือ ไม่มีสมาธิในการทำสิ่งต่างๆ บางครั้งเหมือนสนใจฟังเรา แต่ก็เหมือนไม่เข้าใจ อาการมักเริ่มแสดงอาการช่วงหัวค่ำก่อนเวลาเข้านอน หรืออีกช่วงคือช่วงเช้าๆ อาการที่ปรากฏในภาวะสับสนมักแสดงออกได้สองแบบ
- ประเภทสับสนวุ่นวายโดยมากจะไม่ยอมนอน พูดไปเรื่อยๆ ฟังเราเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่จะพยายามทำในสิ่งที่อยากทำตลอด เช่นจะลงจากเตียง จะเดิน จะดึงสายอาหารทางจมูก บางรายเกรี้ยวกราด มีการทุบทำร้ายคนที่ขัดใจ
- ประเภทซึมเซา จะดูคล้ายนอนมากขึ้น แต่หลับไม่สนิท มักดูเหมือน นอน 2 นาที ตื่น 3 นาที สลับกันไปเรื่อยๆ แล้วจะหยิบคว้าของที่ไม่มีจริงในอากาศ หรือบิดผ้าห่มผ้าปูเตียง บางรายพูดคนเดียว คล้ายที่โบราณว่าคุยกับผี มักไม่เกรี้ยวกราด กลุ่มนี้มักดูแลง่ายกว่ากลุ่มแรก
เกิดขึ้นได้อย่างไรสาเหตุการเกิดต้องประกอบด้วยสภาวะสองอย่างครับ
1. ปัจจัยพื้นฐานของผู้สูงอายุเอง อาการนี้บ่งชี้ว่าผู้สูงอายุ มีภาวะสมองเสื่อมอยู่ไม่มากก็น้อย เช่นอาจเป็นสมองเสื่อมตามวัย เคยมีโรคหลอดเลือดสมอง อัลไซเมอร์พาร์กินสัน หรือโรคทางกายอื่นๆเรื้อรังมานานเช่น เบาหวาน ไตวาย ซึ่งอาจเคยมีหรือไม่เคยมีภาวะสับสน มาก่อนก็ได้
2. ต้องมีเหตุ ปัจจัยภายนอก หรือภายในร่างกายผู้สูงอายุคนไข้ที่เกิดขึ้นใหม่มากระทำ เช่น
- การติดเชื้อ เช่นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปอดบวม ไซนัส ท้องเสีย ไม่ว่าจะมีไข้ หรือไม่มีไข้ก็ได้
- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือสูงเกินไป เช่นต่ำกว่า 90 หรือสูงกว่า 250 โดยประมาณ
- ภาวะร่างกายขาดน้ำหรือขาดสารอาหาร หรือเกลือแร่ เช่นได้รับน้ำน้อยไป เสียเหงื่อมาก โซเดียมในเลือดต่ำ เรามักพบในคนที่มีโรคไต หรือหัวใจร่วมด้วย
- ยาที่พึ่งได้รับ หรือพึ่งเปลี่ยน ในช่วง 1 วันถึง 2 สัปดาห์นี้ โดยเฉพาะ ยาแก้แพ้แบบที่ทำให้ง่วง เช่น Chlorpheniramine/ ยาแก้ปวด Tramadol / ยาแก้คัน Atarax, Hydroxyzine /ยานอนหลับบางชนิด / ยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิด อาหารบางอย่างเช่น ชาหรือกาแฟที่ปกติไม่เคยรับประทาน
- โรคทางกาย หรือทางสมองที่เกิดขึ้นใหม่ เช่นโรคหลอดเลือดสมองตีบ เลือดคั่งในสมอง ซึ่งมักมีความดันที่สูงขึ้น อ่อนแรงแขนขาซีกใดซีกหนึ่ง พูดลิ้นแข็ง, โรคลมชัก ที่มีอาการเกร็งกระตุกแขนขา ใบหน้าให้เห็นในบางช่วงด้วย, การหกล้มหัวกระแทกที่แม้ไม่ได้รุนแรงมาก แต่เกิดภาวะเลือดคั่งในสมอง
- ความเจ็บปวดจากแผลกดทับ อาการคันจากผื่น เสื้อผ้าที่รัดเกินไป จนรบกวนการนอนอย่างมาก
- สิ่งแวดล้อม การย้ายที่อยู่ใหม่ เปลี่ยนคนดูแลใหม่ เช่นผู้ป่วยที่ย้ายเข้ามาอยู่ใน เนิร์สซิ่งโฮมครั้งแรกก็อาจพบภาวะนี้
การปฏิบัติดูแลเมื่อเกิดภาวะสับสน
-
ต้องป้องกันอันตรายต่างๆที่อาจเกิดกับคนไข้ก่อน สำคัญที่สุดเช่น ย้ายจากที่ๆมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ เช่น ป้องกันการตกเตียงโดยย้ายมานอนฟูกที่วางกับพื้น
-
หาสาเหตุ โดยสังเกตจาก
- รอยแผลฟกช้ำตามศีรษะ และแผลอื่นๆ
- วัดไข้ อุณหภูมิกาย วัดความดัน ชีพจร หากสูงหรือต่ำกว่าวันก่อนมาก ควรปรึกษาแพทย์
- สังเกตอาการไข้หวัด ไอ หอบ อาการปัสสาวะน้อย ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น ท้องเสีย
- ดูการเคลื่อนไหวแขนขา หากมีข้างใดอ่อนแรงต่างจากเดิมมาก ต้องสงสัยไว้ก่อนว่าเกี่ยวกับโรคทางสมอง
- ตรวจวัดระดับน้ำตาลปลายนิ้วทันที ถ้าต่ำกว่า 90 สูงกว่า 250 ควรปรึกษาแพทย์
- ตรวจดูยา อาหารที่ผู้ป่วยรับประทาน และหรือแอบรับประทาน
- ถ้าจำเป็น ให้จัดเตียงแยกต่างหาก จัดคนเฝ้าพิเศษ 1 คนหรืออาจต้องมัดมือในผู้สูงอายุบางราย ทั้งนี้ให้ปรึกษาแพทย์ถึงความเหมาะสมในการดูแลแต่ละกรณี
- แก้ไขปัญหาตามสาเหตุที่ตรวจพบ หรือรับยาตามที่แพทย์วินิจฉัยหรือพิจารณานำส่งโรงพยาบาลในบางราย
ต้องฝากว่า ทุกครั้งที่พบภาวะ Delirium ต้องหาสาเหตุที่แก้ไขได้ และสัญญาณอันตรายต่างๆให้ครบก่อนเสมอครับ ในผู้สูงอายุบางรายอาจเป็นได้หลายรอบ และอาจเป็นสัญญาณของโรคต่างๆได้ ถ้าญาติและผู้ดูแลมีความสังเกตและเอาใจใส่ในการดูแลตามที่กล่าวมาได้ จะช่วยชีวิตผู้สูงอายุได้จริงแน่นอนครับ…. ขอเป็นกำลังใจให้ญาติและผู้ดูแลทุกท่าน
ด้วยความปรารถนาดี
หมอหนึ่ง (นพ.สุกรีย์ สมานไทย)
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอายุรกรรมประสาทวิทยา
Medical Consultant สถาบันพัฒนาการดูแลผู้สูงวัย
และศูนย์ดูแลในเครือลิฟวิ่งเวล
(บทความนี้ขอสงวนสิทธิ์สำหรับการเผยแพร่เพื่อให้ความรู้ต่อสาธารณะในเว็บ eldercarethailand.com เท่านั้น)

- อ่าน 7335 ครั้ง